วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Slouching toward Broadband : Revisited in 2005






News Cliping 1

http://augustjackson.net/2009/11/22/scenario-analysis-of-the-telecommunications-industry/

Scenario Analysis of The Telecommunications Industry

Recently I had the opportunity to do a series of presentations on scenario analysis at the China Institute of Competitive Intelligence 5th annual conference in Shanghai.  I used 3G/4G wireless as a use case for scenario analysis.  The high-level scenario analysis the scenarios I’ve developed illustrate four very different possible futures for the telecommunications industry.
The true benefit of scenario analysis is that it helps decision-makers create strategies with a view of the multiple ways the future may unfold.  The best and most important outcome of a full scenario analyzes is that it enables executives to learn about the trends in their industry, recognize the need to adapt to fundamental change, prepare for the unexpected and continue a strategic conversation (to steal some lines from Craig Fleisher and Babette Bensoussan).
With scenario analysis strategists get a view of multiple possible futures.  They can make several decisions without knowing with certainty which scenario (if any) truly describes the future.  Strategists will be able to identify strategies and tactics that are common to all of the possible futures described by the analysis.  They can determine whether or not there are any steps the company can take to make it more likely that an ideal end state will come to pass, such as lobbying regulators or lawmakers to enact specific policies.  CI professionals can use the scenario analysis to identify milestones as the basis of early warning systems so that the firm can be forewarned of which scenario is likely to be as time passes.
As I undertook this effort I  came to see the true importance of having a diverse team with a variety of perspectives and skills in conducting a full scenario analysis.  For example, it would have been great to hear from at least one network engineer about the challenges of transitioning from 3G to 4G and interoperability among the various wireless standards that are deployed in the market.   CI professionals interested in conducting their own scenario analysis should take the need for diversity very seriously.
A true scenario analysis will be more bound than what you see here.  Good scenario analysis bounds the timeframe, which I have left very vague but estimate as the next 3 – 5 years for these scenarios.  Some scenario analysis can look as far as 10 years into the future.  Also, because the telecommunications industry is a mix of global and local markets as well as regulations a true scenario analysis would likely limit itself to a specific market (telecom equipment or services) or geography (the US, Europe or China).  This analysis is not bound on these dimensions and as a consequence is more “squishy” than a true scenario analysis.

As I conducted the analysis I concluded that these are the  two most important uncertainties regarding the future of the telecommunications industry:
  1. Whether or not telecommunications systems will be largely open (as they are today) or closed (the extreme case being the Bell system in the US prior to divestiture).
  2. The cost of commodities is going to have substantial impact on global economies.  The slower growth curve in the US and Europe versus the growth of China and India is a given.  However, all economies will face the potential for major shocks if commodity prices vary wildly.
With these two uncertainties as my axis that enabled me to create a 2 x 2 matrix of four possible futures:
  1. Telcos Set the Pace: A world of stable commodity prices with closed and controlled telecommunications and IT infrastructure.  Telecom service providers will seek to maximize the Return on Capital (ROC) by sweating existing assets.  Telcos will be slow to roll out 4G infrastructure and prefer to limit new applications to limit the pressure on existing networks.
  2. Google World: A world of stable commodity prices with open telecommunications ecosystems.  New devices and applications excite end users and create new value, driving adoption and requiring telecommunications service providers to upgrade their networks quickly to keep up with demand.  Revenues for telecoms is high here, though ROC is much lower for telcos.  Equipment manufacturers perform very well in this scenario.
  3. Innovation Stagnation: A world of economic volatility and with closed telecommunications systems.  For Americans who remember the telecom industry of the 1970s this is a modern equivalent of that.  There will be no move to 4G during this scenario.  We’ll see a greater consolidation among equipment manufacturers, and could even see telecom carriers purchase equipment makers in a reverse vertical integration play.
  4. Reverse Innovation World: A world of economic volatility but open ecosystems.  Every customer and provider in the IT and telecoms industry is trying to do what they are doing today with lower cost.  Equipment manufacturers from China such as Huawei and ZTE are the big winners in this scenario.  Chinese and Indian business models that function with lower revenue and less overhead are enthusiastically adopted in the US and Europe.

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เพราะเหตุใด Irrationality จึงสามารถทำงานได้ดีกว่า Rationality??

Rationality 
      เป็นการคิดตามหลักเหตุผลและความจริง และใช้หลักเหตุผลนั้นเพื่อนำมาตัดสินใจในการดำเนินงานภายใต้กรอบที่ถูกกำหนด และมีกลไกลการทำงานแบบบนลงล่าง คือผู้ที่คิดนโยบาย กฏระเบีบยบ วางแผนงานต่างๆ จะมาจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไม่มีความยืดหยุ่นหรือ Fitness กับสภาพเเวดล้อมมากนัก ทำให้การคิดแบบนี้จะเหมาะกับการทำงานในยุคก่อนๆที่ไม่มี Uncertainty หรือ Complexity มากเหมือนทุกวันนี้ เนื่องจากการคิดเเบบนี้เหมาะกับธุรกิจที่มีแผนการทำงานเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงมาก
Irrationality 
      คือการคิดหรือการตัดสินใจที่ไม่ยึดหลักเหตุผลเเละความเป็นจริงมากนัก แต่จะมีการคิดหรือการตัดสินใจที่แตกต่างกันไปในแต่ละสภาพแวดล้อม มีความยืดหยุ่น และ fitness ต่อ external factor ได้ดีกว่า ทำให้ปรับตัวได้ทันกับ Uncertainty และ Complexity ที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในยุคปัจจุบัน ซึ่งการคิดแบบนี้นำมาสู่การกระจายอำนาจ ไม่จำเป็นว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องเป็นคนวางแผนการหรือเเนวทางการทำงานอีกต่อไป แต่อาจให้ผู้จัดการสาขาหรือหัวหน่อยหน่วยนั้นๆเป็นผู้คิด ควบคุม และแก้ไขปัญหาได้เอง ซึ่งก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และ สร้างคุณค่าใหม่ให้กับตัวพนักงาน และบริษัท
       จากแนวคิดข้างต้นที่กล่าวมานั้น ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าสาเหตุที่ Irrationality ทำงานได้ดีกว่า Rationality นั้นสาเหตุหลักจะมากจากมีความยืดหยุ่นและสามารถ fitness ต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดีกว่า ปรับตัวให้เข้ากับความไม่แน่นอนเเละตัวเเปรต่างๆที่ไม่เคยเจอในโลกปัจจุบันที่มีความซับซ้อนได้ดีกว่า และการคิดเเบบ Irrationality นั้นเป็นแนวคิดที่เสริมให้การทำงานมีความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าเเบบเดิม และอาจเพิ่มคุณค่าแก่องค์กรได้ เพราะว่ามีการทำงานที่ให้อำนาจการตัดสินใจกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ทำให้มีอิสระให้การทำงานมากขึ้น ซึ่่งเหมือนเป็นการไม่ปิดกลั้น ด้วยเหตุนี้อาจส่งผลให้เกิด innovation ใหม่แก่องค์กรก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรความคิดเเบบ Rationality ไว้บ้างเพื่อที่จะมีไว้กำหนดบทบาทและค่านิยมในองค์กร เป็นกฏระเบียบข้อบังคับ และความคิดแบบ Irrationality นั้นมีสำคัญและจำเป็นมากกว่าในสถานการณ์ในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

What did you learn?? 23/01/55

แนวคิดหลักๆ ของ Strategy ก็คือ
1. Response --> Flexibility 
เราต้องดูว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือควรเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เราต้องมี Capability ที่ต้องสนองได้ดี เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้น เราควร เลิกใช้รถ เลิกใช้น้ำมันในการผลิต หรือ ใช้อย่างอื่นผลิตแทนน้ำมันได้หรือไม่ คือเราต้องมีการปรับตัว ตอบสนองที่ดีเหมือนน้ำ
2. Fitness 
มีความเหมาะสมเรื่อง Scope และ Position ที่ดี และเหมาะสม
3. Alignment 
ความสามารถในการ Focus ทุกอย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4. Symmetry/Asymmetry 
การทำตามคนอื่นในทุกๆด้าน หรือ อาจต้องการมีความแตกต่าง จากคนอื่น โดยการทำตรงข้ามกับคนอื่น
5. Equilibrium 
อยู่ในภาวะสมดุลตลอดเวลา

*** ขยายความ  Equilibrium เพิ่มจากคราวที่เเล้ว 
เป็นการสร้างสมดุลระหว่างแรง 2 แบบที่ตรงข้ามกัน " Balance of Contrast Force"  ตัวอย่างเช่นมีความสมดุลระหว่าง demand และ Supply, Strength และ weakness, Good และ bad, Visible และ Invisible ตลอดจน Opportunity และ Threat เป็นต้น
-- Flexibility สำคัญที่สุดในกลยุทธ์ 
-- โลกนี้ไม่มีจุดอ่อน ไม่มีจุดแข็ง เพราะบางที่สิ่งที่อ่อนที่สุด ก็สามารถสยบ สิ่งที่แข็งที่สุดได้ ในการวิเคราะห์ SWOT ขึ้นกับสถานการณ์ เราอาจวิเคราะห์จาก จุดแข็งไปจุดอ่อน หรือ จุดอ่อนไปจุดแข็ง หรือ โอกาสไปหาอุปสรรค ตลอดจนจะวิเคราะห์อุปสรรคเเล้วไปวิเคราะห์โอกาสก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการวินิจฉัย

Strategic Thinking
1. Scope คือ สิ่งที่เราจะทำหรือไม่ทำ ราคือใครในอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดหา Mission และปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 
2. Long Term ในการตัดสินใจต้องใช้ทั้ง สัญชาตญาณ และข้อมูล ซึ่งมีการตัดสินใน 2 ประเภท คือแบบ looking Forward และ แบบ looking Backward 
3. Advantage มี 3ประเภท
1. Monopoly Rent
2. Richadian Rent
3. Entrepreneurial Rent 
4. Environment ดูว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างไร 
Strategy is an Art; never a Science; it is ther Art of the conscious mind in action
5. Resources
Bundle of Resource เราจะเอาอะไรผสมกับอะไร คือการเลือกผสมทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว แล้วนำไปพัฒนาต่อเพื่อให้เกิด Compettitive Advantage

Porter บอกไว้ว่า : Being difference --> Breaking the rule


วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

What is Scenario Analysis ?

การวิเคราะห์ทัศนภาพ เป็นกระบวนการสำหรับวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณาจากทางเลือกที่เป็นไปได้ ซึ่งการวิเคราะห์แบบนี้จะพิจารณาทั้ง ส่วนที่เป็น Low Extreme และHigh Extreme ในการวิเคราะห์แบบ Scenario Analysis จะพิจารณาสิ่งที่เป็นแรงขับ (Driving Forces or Future Trend) โดย Driving Forces มีอยู่ด้วยกันหลายตัว เช่น
1. Generation Values หรือค่านิยมของคนแต่ละยุคสมัย
2. Population Aging ในปีพ.ศ. 2568 สังคมไทยจะมีโครงสร้าง ดังนี้
- ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 14 ล้านคน(22%) อายุ 15-59 ปี ประมาณ 40 ล้านคน (61%) อายุ 15 ปีลงมา ประมาณ 11 ล้านคน (17%) - จำนวนครัวเรือนเพิ่มขึ้น จำนวนสมาชิกในครอบครัวลดลง - คนไทยมีลูกน้อยลง - คนย้ายถิ่นมาอยู่ในเมืองมากขึ้นถึง 61% - แรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นเพราะแรงงานไทยหลีกเลี่ยงงานสกปรก งานอันตราย และงานยาก ปัญหาเหล่านี้ทำให้เราต้องคำนึงถึงว่าจะวางแผนรับมืออย่างไร
3. Creative Economy หรือ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การมีองค์ประกอบร่วมของแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์งาน และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา ที่เชื่อมโยงกับรากฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคม และเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ Creative Economy จึงมีSupply ที่หลากหลาย ในขณะที่ Demand มีเฉพาะ เช่น ชาชัก ฯลฯ
4. GRIN หรือ Genetics, Robotics, Internet Technology and Nano Technology


ข้าพเจ้าคิดว่า 
ข้อดีของ Scenario Analysis คือเราสามารถพิจารณาผลกระทบของเหตุการณ์หนึ่งๆ ซึ่งการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเหตุการณ์ๆไปทำให้เราสามารถพิจารณาถึงความสัมพันธ์กันของปัจจัยหลายๆปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน วิธีนี้จึงเป็นการพิจารณาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรหลายๆตัวพร้อมกันแล้ว ซึ่งจะดีกว่าการที่เราสมมุติว่าให้ปัจจัยหนึ่งเปลี่ยนโดยปัจจัยอื่นๆ ทุกตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ข้อเสียของวิธีนี้คือ สมองของเราไม่อาจคาดการณ์ว่ามีเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นได้บ้างเพราะเหตุการณ์มีได้มากมายหลายเหตุการณ์ การคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ก็เป็นการประมาณการซึ่งอาจผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นวิธีนี้จึงขึ้นอยู่กับผู้วิเคราะห์และความสามารถในการคาดการณ์ค่อนข้างมาก

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

What did I learn? 16/01/2012


What is Strategy??

1.  Plan หรือ Goal คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าองค์กรต้องการอะไร Goal คืออะไร เช่น ต้องการตลาดแบบไหน แบบ Cost Leadership, Cost Focus, Differentiation Focus หรือ Differentiation เราต้องรู้ว่า concept องค์กรคืออะไร แล้วต้องหาวิธีที่จะไปถึงให้ได้ว่าต้องทำอย่างไร หรือ capability นั่นเอง
2. Pattern วิธีการหรือรู้แบบการทำงานบางอย่าง ที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่น เป็น competitive advantage บางที Strategy อาจค้นพบได้ตอนที่เรากำลังทำงานอยู่ เป็นการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ Strategy เรียกว่า Strategic Action ซึ่งแบบ Pattern จะเน้น Action อาจมีวิธีการที่เป็น Behavior ที่นำไปสู่ความสำเร็จ หรือ Best Practices
3. Position ตำแหน่งที่เหมาะสมคือ ตำแหน่งที่ประเภทของตลาดและประเภทของสินค้าสอดคล้องกัน ต้องมี
             - Economy of Scale --> Cost Driver คือธุรกิจมักจะอยู่ในช่วงขยายตัว ผลิตจำนวนมากขึ้นทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ธุรกิจที่มี Economy of Scale มากคือพวก ธุรกิจปิโตรเคมี และมักผลิตสินค้าประเภท Consumer Goods
              - Economy of Scope --> Diversification Diver เป็นการคิดว่าจะทำอย่างไรให้ 1+1=4,5,6,7 ซึ่งเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อ 1 ที่นำมาบวกกันนั้นมีหน่วยต่างกัน เช่นการนำทรัพยากรบุคคลขององค์กรในฝ่ายการตลาดและวิศวะกรอย่างละหนึ่งคนมาทำงานร่วมกัน ซึ่ง Economy of Scope ก็คือการใช้งานทรัพยากรขององค์กรได้คุ้มค่ามากขึ้น คือการนำ Function เดิมไปพัฒนาประยุกต์กับ Function อื่น ทำให้ Function เดิมทำงานได้มากขึ้น หรือการที่เราเชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วเราก็นำความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นไปสนับสนุนการทำงานอีก Function หนึ่งทำให้ cost ลดลง
               - Economy of Speed --> Innovation Driver คือเราต้องเร่งพัฒนาคิดค้นสินค้าใหม่ๆ จะทำให้องค์กรได้กำไรจากการเป็น Monopoly Brand และชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้คนอื่นเห็น Brand ได้ชัดเจนเพราะเป็นคนคิดค้นได้คนแรก ซึ่งในตลาดยังไม่มีคู่แข่ง หรืออาจมีแต่ยังมีน้อยอยู่จึงทำให้สามารถเป็นผู้ผูกขาดตลาดได้ จึงสามารถตั้งราคาขายสูงได้เพราะผู้ซื้อมีทางเลือกน้อยซึ่งองค์กรจะสามารถทำให้กำไรได้อย่างมากในช่วง Growth นั่นเอง และสมัยใหม่นี้ Cycle ของสินค้ามักเติบโตจนถึงช่วงขยายตัวแล้วก็จะมีสินค้าใหม่มาทดแทนทำให้ต้องการ Speed ในการคิดค้นมากขึ้น เพราะวงจรสินค้าสมัยนี้จะเป็นแบบ S-Curve
                หรือหากเราไม่ได้เป็นผู้คิดค้นคนแรกแต่เป็นผู้คิดค้นรายที่สองหรือรายต้นๆในตลาด ซึ่งอาจทำให้เราประหยัดเวลาประหยัดทุนได้มากกว่าผู้คิดค้นคนแรกเพราะเรามี Imitation หรือ Navigator แล้ว แต่เราก็ต้องไปพัฒนาด้าน R&D มากขึ้น และผลิตจำนวนมากๆ ซึ่งก็ยังสามารถทำกำไรจากสินค้านี้ได้อยู่เพราะคู่แข่งไม่เยอะ

http://anphase.com/2010/11/23/symbian-an-os-in-trouble/    


4. Perspective คล้ายกับ Pattern แต่จะเน้น Behavior ซึ่งมักพบใน Differentiation Market


แนวคิดหลักๆ ของ Strategy ก็คือ

1. Response --> Flexibility 
เราต้องดูว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือควรเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เราต้องมี Capability ที่ต้องสนองได้ดี เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้น เราควร เลิกใช้รถ เลิกใช้น้ำมันในการผลิต หรือ ใช้อย่างอื่นผลิตแทนน้ำมันได้หรือไม่ คือเราต้องมีการปรับตัว ตอบสนองที่ดีเหมือนน้ำ
2. Fitness 
มีความเหมาะสมเรื่อง Scope และ Position ที่ดี และเหมาะสม
3. Alignment 
ความสามารถในการ Focus ทุกอย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4. Symmetry/Asymmetry 
การทำตามคนอื่นในทุกๆด้าน หรือ อาจต้องการมีความแตกต่าง จากคนอื่น โดยการทำตรงข้ามกับคนอื่น
5. Equilibrium 
อยู่ในภาวะสมดุลตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นมีความสมดุลระหว่าง demand และ Supply, Strength และ weakness, Good และ bad, Visible และ Invisible ตลอดจน Opportunity และ Threat เป็นต้น