วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

What did I learn? 16/01/2012


What is Strategy??

1.  Plan หรือ Goal คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าองค์กรต้องการอะไร Goal คืออะไร เช่น ต้องการตลาดแบบไหน แบบ Cost Leadership, Cost Focus, Differentiation Focus หรือ Differentiation เราต้องรู้ว่า concept องค์กรคืออะไร แล้วต้องหาวิธีที่จะไปถึงให้ได้ว่าต้องทำอย่างไร หรือ capability นั่นเอง
2. Pattern วิธีการหรือรู้แบบการทำงานบางอย่าง ที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่น เป็น competitive advantage บางที Strategy อาจค้นพบได้ตอนที่เรากำลังทำงานอยู่ เป็นการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ Strategy เรียกว่า Strategic Action ซึ่งแบบ Pattern จะเน้น Action อาจมีวิธีการที่เป็น Behavior ที่นำไปสู่ความสำเร็จ หรือ Best Practices
3. Position ตำแหน่งที่เหมาะสมคือ ตำแหน่งที่ประเภทของตลาดและประเภทของสินค้าสอดคล้องกัน ต้องมี
             - Economy of Scale --> Cost Driver คือธุรกิจมักจะอยู่ในช่วงขยายตัว ผลิตจำนวนมากขึ้นทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ธุรกิจที่มี Economy of Scale มากคือพวก ธุรกิจปิโตรเคมี และมักผลิตสินค้าประเภท Consumer Goods
              - Economy of Scope --> Diversification Diver เป็นการคิดว่าจะทำอย่างไรให้ 1+1=4,5,6,7 ซึ่งเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อ 1 ที่นำมาบวกกันนั้นมีหน่วยต่างกัน เช่นการนำทรัพยากรบุคคลขององค์กรในฝ่ายการตลาดและวิศวะกรอย่างละหนึ่งคนมาทำงานร่วมกัน ซึ่ง Economy of Scope ก็คือการใช้งานทรัพยากรขององค์กรได้คุ้มค่ามากขึ้น คือการนำ Function เดิมไปพัฒนาประยุกต์กับ Function อื่น ทำให้ Function เดิมทำงานได้มากขึ้น หรือการที่เราเชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วเราก็นำความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นไปสนับสนุนการทำงานอีก Function หนึ่งทำให้ cost ลดลง
               - Economy of Speed --> Innovation Driver คือเราต้องเร่งพัฒนาคิดค้นสินค้าใหม่ๆ จะทำให้องค์กรได้กำไรจากการเป็น Monopoly Brand และชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้คนอื่นเห็น Brand ได้ชัดเจนเพราะเป็นคนคิดค้นได้คนแรก ซึ่งในตลาดยังไม่มีคู่แข่ง หรืออาจมีแต่ยังมีน้อยอยู่จึงทำให้สามารถเป็นผู้ผูกขาดตลาดได้ จึงสามารถตั้งราคาขายสูงได้เพราะผู้ซื้อมีทางเลือกน้อยซึ่งองค์กรจะสามารถทำให้กำไรได้อย่างมากในช่วง Growth นั่นเอง และสมัยใหม่นี้ Cycle ของสินค้ามักเติบโตจนถึงช่วงขยายตัวแล้วก็จะมีสินค้าใหม่มาทดแทนทำให้ต้องการ Speed ในการคิดค้นมากขึ้น เพราะวงจรสินค้าสมัยนี้จะเป็นแบบ S-Curve
                หรือหากเราไม่ได้เป็นผู้คิดค้นคนแรกแต่เป็นผู้คิดค้นรายที่สองหรือรายต้นๆในตลาด ซึ่งอาจทำให้เราประหยัดเวลาประหยัดทุนได้มากกว่าผู้คิดค้นคนแรกเพราะเรามี Imitation หรือ Navigator แล้ว แต่เราก็ต้องไปพัฒนาด้าน R&D มากขึ้น และผลิตจำนวนมากๆ ซึ่งก็ยังสามารถทำกำไรจากสินค้านี้ได้อยู่เพราะคู่แข่งไม่เยอะ

http://anphase.com/2010/11/23/symbian-an-os-in-trouble/    


4. Perspective คล้ายกับ Pattern แต่จะเน้น Behavior ซึ่งมักพบใน Differentiation Market


แนวคิดหลักๆ ของ Strategy ก็คือ

1. Response --> Flexibility 
เราต้องดูว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือควรเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เราต้องมี Capability ที่ต้องสนองได้ดี เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้น เราควร เลิกใช้รถ เลิกใช้น้ำมันในการผลิต หรือ ใช้อย่างอื่นผลิตแทนน้ำมันได้หรือไม่ คือเราต้องมีการปรับตัว ตอบสนองที่ดีเหมือนน้ำ
2. Fitness 
มีความเหมาะสมเรื่อง Scope และ Position ที่ดี และเหมาะสม
3. Alignment 
ความสามารถในการ Focus ทุกอย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4. Symmetry/Asymmetry 
การทำตามคนอื่นในทุกๆด้าน หรือ อาจต้องการมีความแตกต่าง จากคนอื่น โดยการทำตรงข้ามกับคนอื่น
5. Equilibrium 
อยู่ในภาวะสมดุลตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นมีความสมดุลระหว่าง demand และ Supply, Strength และ weakness, Good และ bad, Visible และ Invisible ตลอดจน Opportunity และ Threat เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น