วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

What did you learn?? 23/01/55

แนวคิดหลักๆ ของ Strategy ก็คือ
1. Response --> Flexibility 
เราต้องดูว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือควรเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เราต้องมี Capability ที่ต้องสนองได้ดี เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้น เราควร เลิกใช้รถ เลิกใช้น้ำมันในการผลิต หรือ ใช้อย่างอื่นผลิตแทนน้ำมันได้หรือไม่ คือเราต้องมีการปรับตัว ตอบสนองที่ดีเหมือนน้ำ
2. Fitness 
มีความเหมาะสมเรื่อง Scope และ Position ที่ดี และเหมาะสม
3. Alignment 
ความสามารถในการ Focus ทุกอย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4. Symmetry/Asymmetry 
การทำตามคนอื่นในทุกๆด้าน หรือ อาจต้องการมีความแตกต่าง จากคนอื่น โดยการทำตรงข้ามกับคนอื่น
5. Equilibrium 
อยู่ในภาวะสมดุลตลอดเวลา

*** ขยายความ  Equilibrium เพิ่มจากคราวที่เเล้ว 
เป็นการสร้างสมดุลระหว่างแรง 2 แบบที่ตรงข้ามกัน " Balance of Contrast Force"  ตัวอย่างเช่นมีความสมดุลระหว่าง demand และ Supply, Strength และ weakness, Good และ bad, Visible และ Invisible ตลอดจน Opportunity และ Threat เป็นต้น
-- Flexibility สำคัญที่สุดในกลยุทธ์ 
-- โลกนี้ไม่มีจุดอ่อน ไม่มีจุดแข็ง เพราะบางที่สิ่งที่อ่อนที่สุด ก็สามารถสยบ สิ่งที่แข็งที่สุดได้ ในการวิเคราะห์ SWOT ขึ้นกับสถานการณ์ เราอาจวิเคราะห์จาก จุดแข็งไปจุดอ่อน หรือ จุดอ่อนไปจุดแข็ง หรือ โอกาสไปหาอุปสรรค ตลอดจนจะวิเคราะห์อุปสรรคเเล้วไปวิเคราะห์โอกาสก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการวินิจฉัย

Strategic Thinking
1. Scope คือ สิ่งที่เราจะทำหรือไม่ทำ ราคือใครในอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดหา Mission และปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 
2. Long Term ในการตัดสินใจต้องใช้ทั้ง สัญชาตญาณ และข้อมูล ซึ่งมีการตัดสินใน 2 ประเภท คือแบบ looking Forward และ แบบ looking Backward 
3. Advantage มี 3ประเภท
1. Monopoly Rent
2. Richadian Rent
3. Entrepreneurial Rent 
4. Environment ดูว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างไร 
Strategy is an Art; never a Science; it is ther Art of the conscious mind in action
5. Resources
Bundle of Resource เราจะเอาอะไรผสมกับอะไร คือการเลือกผสมทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว แล้วนำไปพัฒนาต่อเพื่อให้เกิด Compettitive Advantage

Porter บอกไว้ว่า : Being difference --> Breaking the rule


วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

What is Scenario Analysis ?

การวิเคราะห์ทัศนภาพ เป็นกระบวนการสำหรับวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณาจากทางเลือกที่เป็นไปได้ ซึ่งการวิเคราะห์แบบนี้จะพิจารณาทั้ง ส่วนที่เป็น Low Extreme และHigh Extreme ในการวิเคราะห์แบบ Scenario Analysis จะพิจารณาสิ่งที่เป็นแรงขับ (Driving Forces or Future Trend) โดย Driving Forces มีอยู่ด้วยกันหลายตัว เช่น
1. Generation Values หรือค่านิยมของคนแต่ละยุคสมัย
2. Population Aging ในปีพ.ศ. 2568 สังคมไทยจะมีโครงสร้าง ดังนี้
- ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 14 ล้านคน(22%) อายุ 15-59 ปี ประมาณ 40 ล้านคน (61%) อายุ 15 ปีลงมา ประมาณ 11 ล้านคน (17%) - จำนวนครัวเรือนเพิ่มขึ้น จำนวนสมาชิกในครอบครัวลดลง - คนไทยมีลูกน้อยลง - คนย้ายถิ่นมาอยู่ในเมืองมากขึ้นถึง 61% - แรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นเพราะแรงงานไทยหลีกเลี่ยงงานสกปรก งานอันตราย และงานยาก ปัญหาเหล่านี้ทำให้เราต้องคำนึงถึงว่าจะวางแผนรับมืออย่างไร
3. Creative Economy หรือ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การมีองค์ประกอบร่วมของแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์งาน และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา ที่เชื่อมโยงกับรากฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคม และเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ Creative Economy จึงมีSupply ที่หลากหลาย ในขณะที่ Demand มีเฉพาะ เช่น ชาชัก ฯลฯ
4. GRIN หรือ Genetics, Robotics, Internet Technology and Nano Technology


ข้าพเจ้าคิดว่า 
ข้อดีของ Scenario Analysis คือเราสามารถพิจารณาผลกระทบของเหตุการณ์หนึ่งๆ ซึ่งการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเหตุการณ์ๆไปทำให้เราสามารถพิจารณาถึงความสัมพันธ์กันของปัจจัยหลายๆปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน วิธีนี้จึงเป็นการพิจารณาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรหลายๆตัวพร้อมกันแล้ว ซึ่งจะดีกว่าการที่เราสมมุติว่าให้ปัจจัยหนึ่งเปลี่ยนโดยปัจจัยอื่นๆ ทุกตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ข้อเสียของวิธีนี้คือ สมองของเราไม่อาจคาดการณ์ว่ามีเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นได้บ้างเพราะเหตุการณ์มีได้มากมายหลายเหตุการณ์ การคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ก็เป็นการประมาณการซึ่งอาจผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นวิธีนี้จึงขึ้นอยู่กับผู้วิเคราะห์และความสามารถในการคาดการณ์ค่อนข้างมาก

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

What did I learn? 16/01/2012


What is Strategy??

1.  Plan หรือ Goal คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าองค์กรต้องการอะไร Goal คืออะไร เช่น ต้องการตลาดแบบไหน แบบ Cost Leadership, Cost Focus, Differentiation Focus หรือ Differentiation เราต้องรู้ว่า concept องค์กรคืออะไร แล้วต้องหาวิธีที่จะไปถึงให้ได้ว่าต้องทำอย่างไร หรือ capability นั่นเอง
2. Pattern วิธีการหรือรู้แบบการทำงานบางอย่าง ที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่น เป็น competitive advantage บางที Strategy อาจค้นพบได้ตอนที่เรากำลังทำงานอยู่ เป็นการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ Strategy เรียกว่า Strategic Action ซึ่งแบบ Pattern จะเน้น Action อาจมีวิธีการที่เป็น Behavior ที่นำไปสู่ความสำเร็จ หรือ Best Practices
3. Position ตำแหน่งที่เหมาะสมคือ ตำแหน่งที่ประเภทของตลาดและประเภทของสินค้าสอดคล้องกัน ต้องมี
             - Economy of Scale --> Cost Driver คือธุรกิจมักจะอยู่ในช่วงขยายตัว ผลิตจำนวนมากขึ้นทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ธุรกิจที่มี Economy of Scale มากคือพวก ธุรกิจปิโตรเคมี และมักผลิตสินค้าประเภท Consumer Goods
              - Economy of Scope --> Diversification Diver เป็นการคิดว่าจะทำอย่างไรให้ 1+1=4,5,6,7 ซึ่งเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อ 1 ที่นำมาบวกกันนั้นมีหน่วยต่างกัน เช่นการนำทรัพยากรบุคคลขององค์กรในฝ่ายการตลาดและวิศวะกรอย่างละหนึ่งคนมาทำงานร่วมกัน ซึ่ง Economy of Scope ก็คือการใช้งานทรัพยากรขององค์กรได้คุ้มค่ามากขึ้น คือการนำ Function เดิมไปพัฒนาประยุกต์กับ Function อื่น ทำให้ Function เดิมทำงานได้มากขึ้น หรือการที่เราเชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วเราก็นำความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นไปสนับสนุนการทำงานอีก Function หนึ่งทำให้ cost ลดลง
               - Economy of Speed --> Innovation Driver คือเราต้องเร่งพัฒนาคิดค้นสินค้าใหม่ๆ จะทำให้องค์กรได้กำไรจากการเป็น Monopoly Brand และชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้คนอื่นเห็น Brand ได้ชัดเจนเพราะเป็นคนคิดค้นได้คนแรก ซึ่งในตลาดยังไม่มีคู่แข่ง หรืออาจมีแต่ยังมีน้อยอยู่จึงทำให้สามารถเป็นผู้ผูกขาดตลาดได้ จึงสามารถตั้งราคาขายสูงได้เพราะผู้ซื้อมีทางเลือกน้อยซึ่งองค์กรจะสามารถทำให้กำไรได้อย่างมากในช่วง Growth นั่นเอง และสมัยใหม่นี้ Cycle ของสินค้ามักเติบโตจนถึงช่วงขยายตัวแล้วก็จะมีสินค้าใหม่มาทดแทนทำให้ต้องการ Speed ในการคิดค้นมากขึ้น เพราะวงจรสินค้าสมัยนี้จะเป็นแบบ S-Curve
                หรือหากเราไม่ได้เป็นผู้คิดค้นคนแรกแต่เป็นผู้คิดค้นรายที่สองหรือรายต้นๆในตลาด ซึ่งอาจทำให้เราประหยัดเวลาประหยัดทุนได้มากกว่าผู้คิดค้นคนแรกเพราะเรามี Imitation หรือ Navigator แล้ว แต่เราก็ต้องไปพัฒนาด้าน R&D มากขึ้น และผลิตจำนวนมากๆ ซึ่งก็ยังสามารถทำกำไรจากสินค้านี้ได้อยู่เพราะคู่แข่งไม่เยอะ

http://anphase.com/2010/11/23/symbian-an-os-in-trouble/    


4. Perspective คล้ายกับ Pattern แต่จะเน้น Behavior ซึ่งมักพบใน Differentiation Market


แนวคิดหลักๆ ของ Strategy ก็คือ

1. Response --> Flexibility 
เราต้องดูว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือควรเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เราต้องมี Capability ที่ต้องสนองได้ดี เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้น เราควร เลิกใช้รถ เลิกใช้น้ำมันในการผลิต หรือ ใช้อย่างอื่นผลิตแทนน้ำมันได้หรือไม่ คือเราต้องมีการปรับตัว ตอบสนองที่ดีเหมือนน้ำ
2. Fitness 
มีความเหมาะสมเรื่อง Scope และ Position ที่ดี และเหมาะสม
3. Alignment 
ความสามารถในการ Focus ทุกอย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4. Symmetry/Asymmetry 
การทำตามคนอื่นในทุกๆด้าน หรือ อาจต้องการมีความแตกต่าง จากคนอื่น โดยการทำตรงข้ามกับคนอื่น
5. Equilibrium 
อยู่ในภาวะสมดุลตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นมีความสมดุลระหว่าง demand และ Supply, Strength และ weakness, Good และ bad, Visible และ Invisible ตลอดจน Opportunity และ Threat เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

What is Stratigic Management,,

กลยุทธ์คืออะไร
        กลยุทธ์คือแนวทางในการดำเนินงานที่ทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย หรือกลยุทธ์ คือ วิธีการในการแข่งขันที่จะทำให้องค์กรสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ หรือกลยุทธ์ คือ แนวทางในการทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ หรือบางท่านอาจจะบอกกลยุทธ์ประกอบด้วยคำถามที่สำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1) ปัจจุบันเราอยู่ ณ จุดใด 2) เราต้องการไปถึงจุดใด 3) เราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไรคือวิธีการหรือแนวทางที่องค์กรจะนำเสนอคุณค่า (Value) ให้กับลูกค้า เพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ (ซึ่งอาจจะเป็นกำไรหรือวิสัยทัศน์)
       การนำแนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์มาใช้ในองค์กรนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการได้แก่ (1) การวิเคราะห์ (Strategic Analysis) (2) การจัดทำ (Strategic Formulation) และ (3) การปฏิบัติ (Strategic Implementation)

เครื่องมือในการวิเคราะห์กลยุทธ์ ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายได้แก่
       • การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัด หรือที่นิยมเรียกกันว่า  SWOT Analysis
       • การวิเคราะห์ปัจจัย 5 ประการที่มีผลต่ออุตสาหกรรม หรือ 5 – Forces Analysis
       • การวิเคราะห์วงจรชีวิตอุตสาหกรรม หรือ Industry lifecycle
       • การวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จของอุตสาหกรรม หรือ Key  Success factors
       • การวิเคราะห์ลูกโซ่แห่งคุณค่า หรือ Value chain analysis
       • การวิเคราะห์คุณค่าหรือความต้องการของลูกค้า (Customer Analysis)
       • การวิเคราะห์คู่แข่งขัน (Competitor Analysis)

ภายหลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์กลยุทธ์แล้ว องค์กรจะต้องมีการกำหนดหรือจัดทำกลยุทธ์ (Strategic Formulation) ซึ่งในอดีตนั้นเรามักจะรู้กันว่า
     กลยุทธ์มีอยู่สามระดับได้แก่
1) ระดับองค์กร (Corporate Strategy) 
2) ระดับธุรกิจ (Business Strategy) 
3) ระดับปฏิบัติการ (Functional Strategy) 
     แต่เนื่องจากวิวัฒนาการในแนวคิดด้านกลยุทธ์ ทำให้ในปัจจุบันนักวิชาการด้านกลยุทธ์ได้มองว่ากลยุทธ์ควรจะมีแต่สองระดับ เท่านั้นคือระดับองค์กรและระดับธุรกิจ  ส่วนกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการนั้นไม่เข้าข่ายของความเป็นกลยุทธ์เนื่องจากไม่ ได้ก่อให้เกิดการได้เปรียบทางการแข่งขัน และมีแนวโน้มที่จะเป็นแผนปฏิบัติการ (Action plan) มากกว่ากลยุทธ์ 
        กลยุทธ์ระดับองค์กรจะบอกให้รู้ถึงแนวทางหรือทิศทางในการดำเนินงานขององค์กร ว่าต้องการมุ่งเน้นที่จะขยายตัวหรือไม่ และถ้าต้องการที่จะขยายตัวจะขยายตัวในธุรกิจใด (Where to Compete) ในขณะที่กลยุทธ์ระดับธุรกิจจะบอกให้รู้ถึงวิธีการที่องค์กรใช้ในการแข่งขัน (How to Compete) ภายหลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แล้ว ผู้บริหารสามารถที่จะกำหนดกลยุทธ์ระดับองค์กรได้โดยการตอบคำถามง่าย ๆ ไม่กี่คำถามดังนี้
     (1) องค์กรต้องการที่จะขยายตัว (Growth) คงตัว (Stable) หรือ หดตัว (Retrench) ส่วนใหญ่แล้วคำตอบที่มักจะได้รับจะหนีไม่พ้นการขยายตัว หรือผสมผสานระหว่างการขยายตัวและหดตัว (Combination)
     (2) ถ้าองค์กรต้องการที่จะขยายตัว องค์กรจะขยายตัวด้วยวิธีไหน
• ขยายตัวในองค์กร (Internal Growth) เช่น การขายสาขา การเพิ่มสินค้าใหม่ หรือ การหาลูกค้าใหม่ เป็นต้น โดยการขยายตัวเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการด้วยตนเอง
• ขยายตัวจากภายนอกองค์กร (External Growth) โดยอาจจะเกิดขึ้นจากการเข้าไปร่วมกิจการกับองค์กรอื่น หรือการเข้าไปเป็นพันธมิตรร่วมกับองค์กรอื่น
     (3) ถ้าองค์กรต้องการที่จะต้องการขยายตัว องค์กรจะขยายตัวอย่างไร
• ขยายตัวโดยใช้สินค้าและบริการเดิมที่องค์กรมีอยู่ในปัจจุบัน 
• ขยายตัวโดยสินค้าและบริการใหม่ ๆ
     (4) ถ้าองค์กรต้องการที่จะขยายตัว องค์กรจะขยายตัวไปในธุรกิจไหน?
        • ขยายตัวในธุรกิจเดิม
        • ขยายตัวในธุรกิจใหม่สัมพันธ์กับธุรกิจเดิม
        • ขยายตัวในธุรกิจใหม่ที่ไม่สัมพันธ์กับธุรกิจเดิม


     ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและตลาดมีดังนี้                      
        • ใช้สินค้าบริการเดิม ขยายตัวในอุตสาหกรรมเดิม (Old Product/ Old Market)
        • ใช้สินค้าและบริการเดิม ขยายตัวเข้าไปในอุตสาหกรรมใหม่ (Old Product/ New Market)
        • นำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ขยายตัวในอุตสาหกรรมเดิม (New Product/ Old Market)
        • นำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ขยายตัวเข้าไปในอุตสาหกรรมใหม่ (New Product/ New Market)
     
         สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจ (Business Strategy) หรือที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน (competitive strategy) หมายถึง วิธีการที่องค์กรจะใช้ในการแข่งขันเพื่อให้สามารถชนะคู่แข่งขันในอุตสาหกรรม นั้น ๆ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target customer) ให้ชัดเจนก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายขององค์การคือใครและมีความต้องการอะไร ส่วนใหญ่แล้วกลยุทธ์ธุรกิจมักจะเป็นไปตามแนวคิดของ Michael E. Porter ที่ระบุไว้ว่าองค์กรธุรกิจสามารถเลือกที่ใช้วิธีการในการแข่งขันโดยการเป็น ผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership Strategy) หรือการสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน (Differentiation) ซึ่งองค์กรอาจมุ่งเน้นที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Focus customer) นอกเหนือจากกลยุทธ์ธุรกิจตามแนวคิดของ Porter แล้วองค์กรสามารถที่จะเลือกใช้กลยุทธ์ธุรกิจอื่นในลักษณะอื่นอีก เช่น การเป็นริเริ่มเป็นผู้นำ (First Mover) หรือการใช้กลยุทธ์เชิงรุก (Offensive Strategy) หรือกลยุทธ์โจมตีจุดอ่อนของคู่แข่งขัน ในการกำหนดกลยุทธ์ระดับธุรกิจหรือกลยุทธ์ในการแข่งขันนั้นสามารถจัดทำได้โดย ตอบคำถามต่าง ๆ ดังนี้
     (1) ใครคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายขององค์กร (คำตอบนี้ได้มาจากการกำหนดกลยุทธ์ระดับองค์กร)
     (2) อะไรคือคุณค่าหรือสิ่งที่ลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายนั้นต้องการจากสินค้าและบริการ
     (3) อะไรคือความแตกต่าง (Differentiation) ที่องค์กรจะนำเสนอให้กับลูกค้าเป้าหมาย
     
      กลยุทธ์องค์กรทำให้รู้ว่าว่าองค์กรมีทิศทางอย่างไรและไปในทิศทางไหน ส่วนกลยุทธ์ระดับธุรกิจจะบอกให้รู้ถึงวิธีการที่องค์กรจะใช้ในการแข่งขันกับ คู่แข่งขัน สำหรับความสัมพันธ์ระหว่าง
      กลยุทธ์ทั้งสองประการนั้น กลยุทธ์องค์กรจะบอกให้รู้ว่าองค์กรจะเข้าไปแข่งขันในอุตสาหกรรมใดด้วยสินค้า หรือบริการใด ซึ่งเมื่อองค์กรจะบอกให้รู้ว่าองค์กรจะเข้าไปแข่งขันในอุตสาหกรรมใดด้วย สินค้าหรือบริการใด ซึ่งเมื่อองค์กรตัดสินใจได้แล้ว ผู้บริหารสามารถใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจในการระบุถึงวิธีการที่องค์กรจะแข่งขัน ในอุตสาหกรรมนั้น
        บทความโดย : ณัฐพล ลีลาวัฒนานันท์




 http://boc.dip.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=344&Itemid=14
http://www.youtube.com/watch?v=XP9F1xcuRrc&feature=related